เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2565 ที่ จ.ลำปาง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณี เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.65 ที่ผ่านมา นางวิไลวรรณ รัตนพิทัก์ษ์ อายุ 73 ปี บ้านเลขที่ 111 ซอยนาก่วม 2 ถนนนาก่วม ต.ชมพู อ.เมืองลำปาง ต้องทำมาหากินเก็บผักบุ้งขายหาเงินส่งหลานเรียนหนังสือ 4 คน และขอความช่วยเหลือจากผู้สื่อข่าว ฝาก ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากสามีเสียชีวิต และลูกชาย 2 คน แต่งงานมีลูก แล้วเลิกกับภรรยา ส่วนอีกคนถูกจำอยู่ที่เรือนจำจังหวัดลำปาง ทำให้ภาระเลี้ยงดูหลาน 4 คน เป็น ชาย 2 คน หญิง 2 คน ที่กำลังเรียนหนังสือเป็นเวลานานกว่า 16 ปีมาแล้ว โดยเก็บผักบุ้งมาขายหาเงินมาเลี้ยงชีวิตและส่งหลานเรียนหนังสือเนื่องจากไม่มีงานทำ
ปัจจุบันมีโรคประจำตัวทั้งโรคเบาหวาน ความดัน ไขมัน และโรคซึมเศร้า ต้องกินยาและไปหาหมอเป็นประจำ แต่ทุกวันนี้ไม่ได้ไปหาหมอเพราะไม่มีเงินค่ารถ
โดยมีรายได้ประจำจากบัตรสวัสดิการัฐเดือนละ 300 บาท และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 700 บาท รวม 1,000 บาทเท่านั้น และนำเงินมาจ่ายค่ารถไปโรงเรียนและค่าอาหารของหลานทั้ง 4 ราย เฉลี่ยวันละกว่า 200 บาท และค่าใช้จ่ายประจำภายในบ้าน ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำก็ไม่พอกิน บางวันขายผักไม่ได้ หรือไม่สบาย ไม่ได้ไปเก็บผักบุ้ง ก็ไม่มีรายได้ ไม่มีเงินให้หลานไปโรงเรียนก็ต้องให้หยุดไปเรียน 1 วัน เพราะไม่มีค่ารถค่ากิน จึงได้แจ้งผ่านผู้สื่อข่าว ขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ล่าสุด นางวิไลวรรณ กล่าวว่า หลังจากที่สื่อมวลชนเสนอข่าวดังกล่าว ได้มีผู้ใจบุญมีจิตศรัทธา ประชาชนทั่วไป ตลอดจนพระ ได้ส่งสิ่งของมาให้ ทั้งข้าวสารกระสอบ พัดลม ขนม กระเป๋านักเรียน กระเป๋าสะพาย เสื้อผ้านักเรียน ผ้าห่มและฟูกที่นอนแบบพับได้ จึงขอขอบคุณจากใจจริงผ่านสื่อที่ช่วยกระจายข่าว ทำให้ทุกวันนี้พอมีอยู่มีกิน ไม่อดอยากเหมือนเมื่อก่อนและมีเงินส่งหลานทั้ง 4 คนเรียนหนังสือตามความประสงค์ของผู้ใจบุญที่บริจาคเงินเป็นทุนการศึกษาและค่าใช้จ่ายซื้อข้าวปลาอาหาร
“จากการตรวจอัพเดทบัญชี ธนาคารกรุงไทย สาขาเขลางค์นคร ล่าสุดพบว่ามีเงินที่ผู้ใจบุญร่วมบริจาคเป็นทุนการศึกษาและค่าใช้จ่ายของหลานทั้ง 4 ราย รวมกว่า 3.59 แสนบาท และมีการเบิกถอนเงินนออกจากบัญชีเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมาจำนวน 10,000 บาท และวันที่ 7 ก.ย.เบิกถอนเงินอีกจำนวน 2,000 บาทเพื่อนำมาใช้จ่ายต่อยอดประกอบอาชีพซื้อนกกระทาไข่มาขาย จำนวน 80 ตัวโดยขายไข่ฟองละ 1 บาท มีคนมารับซื้อถึงที่ เพื่อนำไปขายต่อในราคาที่สูงขึ้น ทำให้มีรายได้จากการขายไข่วันละ 80 บาท พร้อมสร้างโรงเรือนเป็นสัดส่วน จะซื้อไก่พันธุ์ไข่มาเลี้ยงอีก เพื่อจะได้มีอาหารไข่ให้หลานทานไม่ต้องไปหาซื้อไข่ไก่กินและปลูกผักชนิดต่างๆไว้กิน เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย”
นางวิไลวรรณ กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือกลั้นน้ำตา ว่า ต้องขอขอบพระคุณผู้ใจบุญทุกท่านอีกครั้ง ไม่มีสิ่งใดที่จะตอบแทนและเป็นหนี้บุญคุณทุกท่าน จะพยายามใช้เงินให้เกิดประโยชน์คุ้มค่ามากที่สุด ส่วนหนึ่งเป็นทุนการศึกษาของหลาน อีกส่วนหนึ่งก็จะแบ่งต่อยอดประกอบอาชีพเพื่อให้มีรายได้ เนื่องจากทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยสบายไม่แข็งแรงเหมือนก่อนผักบุ้งก็ไม่สามารถเก็บไปขายได้เนื่องจากน้ำท่วม จึงต้องเลี้ยงนกกระทา เลี้ยงไก่ไข่บริเวณหลังบ้านแทน เนื่องจากเคยเลี้ยงมาก่อน และไม่ต้องเดินทางไปมาได้มีเวลาพักผ่อนอยู่บ้าน และของดรับบริจาคไว้ก่อน เนื่องจากมากเพียงพอแล้ว