ณ ที่ สภ.เมืองเขลางค์นคร บรรดาตัวแทนผู้เสียจำนวนกว่า10 คน จากจำนวนทั้งหมดร่วม 20 คน ได้เดินทางมาเฝ้ารอเพื่อขอพูดคุยกับนายปิยะพงศ์ หรือ เบียร์ ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดลำปาง ที่ถูกนำตัวมาจาก สภ.เมืองลำปาง เพื่อฝากขัง โดยนายเบียร์มาพร้อมกับทนายความ และไม่ยอมให้สัมภาษณ์หรือพูดคุยใดๆ ซึ่งสุดท้ายผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวไปด้วยวงเงินเก้าแสนบาท ซึ่งทำให้บรรดาผู้เสียหายไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ตัวแทนผู้เสียหาย กล่าวว่า การเดินทางมาที่ สภ.เมืองลำปาง และ สภ.เขลางค์นคร ในวันนี้ เนื่องจากทราบว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวนายเบียร์ ได้แล้ว จึงต้องการมาพบและพูดคุยด้วย และต้องการคำตอบเกี่ยวกับเงินที่ตนเองได้ร่วมลงทุนไป และ ไม่อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ประกันตัวเพราะมูลค่าความเสียหายมากกว่า50 ล้านบาท เพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคดีดังกล่าว โดยมีตำรวจโทรศัพท์มาขอร้องไม่ให้คัดค้านการประกันตัวด้วย และอยากให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำคดีทั้งหมดที่มีผู้เสียหายมาแจ้งความรวมเป็นคดีเดียว เพื่อจะได้แจ้งความดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และ พร้อมจะเดินหน้าเข้าพบดีเอสไอ เพื่อขอให้เป็นคดีพิเศษต่อไป.
สำหรับพฤติการณ์ของผู้ต้องหา ผู้เสียหายได้เล่าว่า ในคดีนี้จะมีผู้ต้องหา 2 คน ที่เป็นตัวหลัก ซึ่งก็เป็นคนในแวดวงธุรกิจของลำปาง คือ นายภูเดชา หรือ โจ้ และ นายปิยะพงศ์ หรือ เบียร์ ได้เปิดเฟสบุ๊ค พร้อมระบุข้อความว่า “รับปิด บ-ช ย้ายไฟแนนซ์ ย้ายที่ดิน จำนำรถ ปิดบ้านขาย รถยนต์ ทั้งใหม่และเก่า สนใจทักมายินดีให้คำปรึกษา เรามีทีมงานทุกจังหวัด” หลังจากนั้นก็จะมีการแชร์เพจไปยังกลุ่มต่างๆและทักไปชักชวนผู้เสียหายรายต่างๆที่เป็นผู้ทำธุรกิจในจังหวัดลำปาง พร้อมมีการเสนอผลตอบแทนในการเข้าร่วมลงทุนทำธุรกิจนี้ โดยจะให้ผลตอบแทนเป็นกำไร 3 – 7 เปอร์เซนต์ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อนำเงินมาร่วมลงทุนกับทั้งสองคนมากกว่า 20 ราย โดยช่วงแรกผู้เสียหายจะได้เงินตอบแทนตรงตามเวลา แต่เมื่อผ่านไปเดือนที่ 3-4 ก็จะเริ่มลดผลกำไรและสุดท้าย เมื่อผู้เสียหายดูแล้วว่าธุรกิจน่าจะมีปัญหาจึงพยายามขอเงินลงทุนคืน แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้แล้ว จึงได้เข้าแจ้งความดำเนินคดี พร้อมกับเตือนไปยังประชาชนทั่วไปที่มองหาการลงทุนใดๆก็แล้วแต่ อย่าเห็นว่าเป็นคนรู้จัก เป็นคนมีหน้าตาในสังคม หรือผลตอบแทนสูง เพราะอาจจะถูกหลอกและสูญเงินจำนวนมากได้
“พวกเราไม่อยากให้มีการประกันตัวเพราะเห็นว่าความเสียหายมาก และอาจจะหลบหนี และ ที่เป็นห่วงคือเกรงคดีจะไม่คืบหน้าเพราะมีนายตำรวจ(นิรนาม)โทรมาขอเรื่องคดี และพวกตนเองก็สงสัยว่าทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับคดี ถึงไม่ยอมรวมให้เป็นคดีเดียว หรือเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ต้องหาหรือเพราะรู้จักกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ” จึงอยากเรียกร้องให้รวมคดี หาก ไม่ดำเนินการ กลุ่มของตนเองจะเดินทางไปร้องที่ดีเอสไอเพื่อขอให้รับเป็นคดีพิเศษต่อไป.
ทางด้านนายปัณธวัฒน์ หนึ่งในผู้เสียหายทีนำเงินร่วมลงทุน 2 ล้านบาท เผยว่า ตนเองรู้จักกับนายปิยะพงศ์ หรือเบียร์ เมื่อมาชักชวนก็คิดว่าทำธุรกิจด้านนี้จริง ยอมรับโดยตอนแรกไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลได้แต่ฟังนายเบียร์บอกเล่าว่าทำธุรกิจร่วมกับนักลงทุนที่กรุงเทพฯหลายคน จึงตัดสินร่วมลงทุนด้วย ในช่วงแรกลงเงินไป 500,000 บาท เดือนแรกก็ได้กำไรกลับคืนมา จึงลงทุนเพิ่มไปเป็น 1 ล้านบาท ก็ได้กำไรกลับคืนมา จึงลงเพิ่มอีก 1 ล้าน รวมเป็นสองล้านบาท ถัดมานายเบียร์ขอลดกำไรและเริ่มขยายเวลาตนเองเห็นว่าน่าจะไม่ดีแล้วกลัวเงินจะสูญจึงขอเงินลงทุนคืน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คืนและก็ติดต่อนายเบียรืไม่ได้อีก ซึ่งมาทราบภายหลังว่านายเบียร์ น่าจะไม่ได้นำเงินไปลงทุนทำธุรกิจ แต่นำไปชักชวนคนอื่นให้มาร่วมลงทุนและนำเงินจากผู้ลงทุนรายใหม่มาหมุนจ่ายคืนให้กับผู้ลงทุนรายเก่า ซึ่งได้ทำร่วมกับนายภูเดชา แต่สุดท้ายเมื่อไม่ได้ทำธุรกิจก็ไม่มีเงินเข้าจึงทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินคืนได้และก็หลบหนีไป
จากการสอบถามทราบว่าสำหรับผู้เสียหายในแวดวงธุรกิจในจังหวัดลำปางที่นำเงินมาร่วมลงทุนในธุรกิจกับผู้ต้องหาทั้งสองคนนั้น มีหลากหลายวงการ ซึ่งบางคนก็ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ อาทิ ธุรกิจเสริมความงาม ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจบันเทิง รวมแล้วมูลค่าความเสียหายมากกว่า 50 ล้านบาท.